กระบี่เย้ยยุทธจักร
บางครั้งก็ชื่อ กระบี่เย้ยยุทธจักรบ้าง บางครั้งก็ชื่อ เดชคัมภร์เทวดาบ้าง เป็นหนังจีนที่ผมดูตั้งแต่เด็ก เข้าใจว่าได้มีโอกาสดูในทุกภาค ที่เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมา แล้วนำเข้ามาฉายในประเทศไทย จากเด็กที่ดูเอาสนุกกับฉากต่อสู้ โตขึ้นมา เริ่มสนใจแง่คิดที่ถูกแผงไว้ในเนื้อหา จนกระทั่งช่วงนี้ 2566 ผมนั่งดูมันอีกรอบหนึ่งด้วยเหตุผลอะไรก็นึกไม่ออก แต่มีส่ิงที่ได้มันฉุกคิดอะไรบ้างอย่างได้ ก็เลยอยากเล่าให้ฟัง แต่ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้มากนัก เพื่ออรรถรสในการอ่าน ขอแปะข้อมูลของเรื่องนี้จาก Widipedia เลยละกันครับ
กระบี่เย้ยยุทธจักร (จีน: 笑傲江湖; พินอิน: xiào ào jiāng hú) เฉี่ยเหงากังโอ๊ว หรือ เซี่ยวเอ้าเจียงหู ผลงานของกิมย้ง (金庸) เรื่องนี้ น.นพรัตน์ แปลครั้งแรกชื่อเรื่อง ผู้กล้าหาญคะนอง ในปี ค.ศ. 1960 มีทั้งหมด 8 เล่ม แต่พอต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น เดชคัมภีร์เทวดา ต่อมาจึงเปลี่ยนตามภาพยนตร์โทรทัศน์ว่า กระบี่เย้ยยุทธจักร และเรียบเรียงใหม่ลดลงเหลือ 4 เล่ม
เฉี่ย แปลว่า ยิ้ม หัวเราะ, เหงา แปลว่า ผยอง หยิ่ง, กังโอ๊ว แปลว่า ยุทธจักร รวมแล้วพอจะแปลเอาความได้ว่า 'ยิ้มผยอง (ใน) ยุทธจักร' หรือ 'ยิ้มผยอง หยันยุทธจักร' ในความหมายของไทย "กระบี่เย้ยยุทธจักร" หมายความว่า "มือกระบี่มือหนึ่งแห่งแผ่นดินเยาะเย้ยความเป็นไปของยุทธจักร และ กฎเกณฑ์อันหลอกลวงของยุทธจักร" อันเป็นผลงานชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งของกิมย้ง
Ref: กระบี่เย้ยยุทธจักร
ฉุกคิด อะไรบ้างในวัยใกล้เกษียณ
ผมนั่งดูตัวละครแต่ละตัว ที่มองผ่านประสบการณ์ในช่วงปลายชีวิตของการทำงาน รู้สึกว่ามันต่างไปจากเดิมที่เคยดูตอนเด็ก ๆ มากเลย
- เล่งหูชง แน่นอนเค้าเป็นพระเอก ยังไงก็เป็นคนดี ตามสูตรสำเร็จของความเป็นพระเอก ไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ เป็นคนรักอิสระ ถ้าเป็นในช่วงชีวิตวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ตอนต้นมันก็ดูน่าสนใจกับวิถีแบบนี้ดี แต่ถ้าเราผจญภัยในโลกนี้มาสักพัก เราไม่ได้ตัวคนเดียว มีครอบครัว มีความรับผิดชอบ การใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ มันอาจจะพาความเสี่ยงเข้ามา ทำให้ชีวิตมันไม่คง มันคงไม่ค่อยเหมาะกับช่วงชีวิตใกล้เกษียณเท่าไหร่นัก
- วิญญูชนจอมปลอม เป็นคำนิยามของเยี่ยปู้ฉิน อาจารย์ของเล่งหูชง ที่เปลือกนอกดูเป็นคนดี สุภาพ มีคุณธรรม แต่จิตใจมีแต่ความอิจฉาริษยา เห็นคนอื่นได้ดีไม่ได้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นที่ 1 โดยไม่สนในถูกหรือผิด ในช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ห้าว ผมคิดว่าถ้าเจอกับคนพวกนี้ ก็ต้องลองฝีมือกันสักตั้ง เชื่อมั่นในความดีจะชนะได้ เชื่อว่าความจริงย่อมเป็นความจริง ไม่สามารถบิดเบือนได้ ... แต่ว่าในชีวิตจริง เราไม่สามารถเอาชนะวิญญูชนจอมปลอมพวกนี้ได้เลย เค้าจะมีความสร้างสรรค์ วิธีการที่จะจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เค้ายังคงสถานะ หรือบรรลุเป้าหมายได้โดยไม่สนใจเรื่องที่จะเค้าจะทำมันจะถูกหรือผิดได้เสมอ แล้วคนพวกนี้ยังมีวิธีการบอกตัวเองได้ว่า สิ่งที่เค้าทำถูกต้องแล้ว ชอบแล้วอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่ผมทำในวัยนี้คือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้อยู่ห่างจากคนกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด แล้วชีวิตจะสงบสุข
- จั่วเหล่งซาน หนึ่งในเจ้าสำนัก 5 ขุนเขา ที่ทำทุกวิธีที่จะเป็นเจ้ายุทธจักร ในตอนเด็กก็มองว่า ตัวละครตัวนี้เป็นตัวไม่ดี แต่พอมาถึงวันนี้ เออ ... เว้ย ... ตัวละครตัวนี้ก็ชัดเจนดี ไม่ซอบซ้อน อยากเป็นใหญ่ ก็ชัดเจน สู้กันบนโต๊ะ ไม่ได้เป็นอีแอบ
- พรรคมาร ในตอนเด็ก ๆ พอถูกนิยามว่าเป็นสมาชิกพรรคมาร mindset ของคนดู ก็คือ ตีความไปแล้วตั้งแต่เห็นหน้าว่า เป็นคนไม่ดี ตัวละครเหล่านี้ ต้องไปทำอะไรที่ผิดครรลองครองธรรมแน่ ๆ เลย ... แต่ถ้ามามองในอีกมุม ตัวละครบางตัว รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง กล้าทำตามสิ่งในสิ่งที่ต้วเองคิด อย่างเช่น เค็กเอี้ยง ที่เป็นฑูตของพรรคมาร ที่หลงไหลในการเล่นดนตรี พอเจอเพื่อนที่รู้ใจในมุมของดนตรี ที่เป็นสมาชิกในสำนัก 5 ขุนเขา ก็มุ่งไปที่ประเด็นเรื่องของดนตรี เป็นสหายที่รู้ใจกัน
- ตงฟางปุ๊ป้าย ตัวละครนี้เป็นประมุขพรรคมาร ที่โครตเก่ง เพราะฝึกสุดยอดวิทยายุทธจนสำเร็จ ในตอนผมเด็ก ๆ ดูแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตีความว่าเป็นตัวร้าย เดี๋ยวก็แพ้พระเอก !!! ... แต่พอโตขึ้น ได้ดูหนังเรื่องนี้ในหลาย version ที่ถูกตีความไปในหลายมุมมอง ผมกลับเห็นว่า ตัวละครนี้น่าสงสาร โดดเดี่ยว หวาดระแวง ทั้ง ๆ ที่เรียกได้ว่า เป็นตัวละครที่มีวิทยายุทธไร้เทียมทาน
- บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร เป็นบทเพลงที่สมาชิกพรรคมาร และสมาชิกสำนัก 5 ขุนเขาที่คบกันในฐานะเพื่อน ทั้งสองมีความหลงไหลในดนตรี เรียนรู้ และค้นคว้าในเรื่องดนตรี จนกระทั้งสร้างสรรค์บทเพลงใหม่ขึ้น เป็นบทเพลงสุดท้าย ก่อนที่ทั้ง 2 จะตายไปเพราะกฏเกณฑ์ของยุทธภพ สารภาพว่าเคยมองข้ามตอนนี้ไปเลย ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ใส่ใจ ... แต่มาตอนนี้ กลับคิดว่า คำว่า "ยิ้มเย้ยยุทธจักร" น่าสนใจ การมีความสุขกับความเปลี่ยนที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันจะไปในทิศทางใด จะดี หรือจะร้าย เราก็ยังยิ้มให้กับสถานการณ์พวกนั้นได้
หมายเหตุ: ชื่อ และศัพท์ที่เขียน ผมเขียนจากความทรงจำผม ไม่มีความถูกต้องใด ๆ ตามหลักภาษาทั้งนั้น เรื่องราวที่เล่า ก็เป็นเพียงความคิดจากสิ่งที่เห็นและได้ยินจาก 2 ตา 2 หู 1 สมอง เท่านั้น
บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร ในยุคนี้
คำว่า "บทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร" วนเวียนอยู่ในหัวผมอยู่หลายวัน แต่จำทำนองไม่ได้ ก็เลยนั่งค้น นั่งหา ก็ได้เจอในหลาย ๆ version ที่ถูกเผยแพร่ออกมา แถมยังไปเจอ version ภาษาไทย ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนต์ มาเรียบเรียง ... บอกเลย ขอคารวะ คุณกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ที่แต่งเนื้อเพลงนี้ ได้สุดจริง ขอยกสุราคารวะท่านหนึ่งจอก
ถ้าได้นั่งไล่อ่าน comment ใน YouTube ผมว่า เราได้เห็นการตีความจากมุมมองที่หลากหลายเลยครับ ผมหยิบบางอันที่ประทับใจมาแปะไว้ด้วยละกัน
- สำเร็จคัมภีร์ปราบมาร แต่มารในใจใยยิ่งผงาด บูรผาไม่แพ้ใยแพ้เพลิงพิษหวาด “ แค่ 2 ท่อนนี้คือสรุปทั้งเรื่องของเรื่องนี้เลยสุดยอดจริงๆ
- "..แม้เป็นพรรคมารก้ออาจมีดีในดวงกมล ชั่วช้าสามานย์อาจอยู่ในใจของวิญญูชน.." ท่อนนี้เด็ด !!!! :D
- (ชอบเนื้อเพลงท่อนนี้จัง)
ไม่มี สิ่งไหน
ยั่งยืน ตราบจน ชั่วกาลนาน
กี่รบ กี่รัก - กระบี่ว่าคมแค่ไหน ใยตัดความรักไม่ยักกะขาด!!
- ไม่มีสิ่งไหนยั่งยืน ตราบจนชั่วกาลนาน
กี่รบ กี่รักที่เคยผ่านมา ก็ผ่านเลยไป~
ท่ามกลางหุบผา หัวใจลิ่วลมดุจใบไผ่.
ปล่อยมันล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ตามลิขิตฟ้า :)
#สมการรอคอยจริงๆ ชอบๆ ฟังละได้มุมมองใหม่ๆดี^^
แต่สำหรับผม ผมชอบท่อนนี้ เป็นพิเศษ
ในขาวมีดำ ในดำมีขาวทุกตัวคน
แม้เป็นพรรคมารก็อาจมีดีในดวงกมล
ชั่วช้าสามานย์อาจอยู่ในใจของวิญญูชน
เบื้องบนได้ลิขิตไว้ก็ล้วนแต่เป็นวาสนา
ใยยึดมั่นถือมั่นให้จริงจังกันนักหนา
กาลเวลาอันยาวนาน ผุกร่อนกระทั่งหินผา
หามีสิ่งใดในโลกจีรัง ชื่อเสียง ลาภ ยศ ศรีษะ แขน ขา
(ล้วนแตกดับสูญเป็นธุลี)
เนื้อเพลง ยิ้มเย้ยยุทธจักร
กระบี่ว่าคมแค่ไหนใยตัดความรักไม่ยักกะขาด สำเร็จคัมภีร์ปราบมารแต่มารในใจใยยิ่งผงาด บูรพาไม่แพ้ใยแพ้เพลิงพิศวาส มหาเวทย์ดูดดาวใยมิอาจดูดกลืนความพยาบาท แสงแดดสาดมามองด้วยตาเปล่าก็หรี่เท่ากัน มีดสั้น ดาบ ทวน จะใช้ยาพิษ กระบี่ เกาทัณฑ์ มันตายเพราะอาวุธใดพอท่านแก่ไปก็ตายเหมือนมัน หาได้มีใครจะอยู่ค้ำฟ้า ยาจก เศรษฐี หรือจอมราชันย์ (และเพราะฉะนั้นข้าเห็นว่า) ใยต้องแก่งแย่งกันทั้งปี เมื่อชีวิตนั้นสั้นลงทุกนาที ยุทธภพได้แต่ฆ่า ได้แต่ฟัน ได้แต่แย่ง ได้แต่ชิง ได้แต่ต่อย ได้แต่ตี บารมีมากไปใยเหมือนแบกสัมภาระแล้วเดินทางไกล ปล่อยวางมายาลงเถิดสหาย แล้วใช้มือคู่นั้นยกจอกเมรัย ------------------------------------ เฮ้ย เสี่ยวเอ้อไปยกสุรามาอีกไห ยกจอกย้อมใจให้ไมตรีไม่เฉไฉ กอดคอฝ่าอุปสรรค ปล่อยวางความแค้นที่หนัก คืนนี้ข้าจะนั่งดื่มแล้วยิ้มเยาะเย้ยให้ยุทธจักร ------------------------------------ สิ้นแสงตะวัน ผุดพลันแสงจันทรา นี่แหล่ะหนา ร่ำสุราและยิ้มเย้ยในที โลกไม่จีรัง ปล่อยวางเสียชีวี ดั่งนที ที่ไหลมาแล้วก็ไหลไป ------------------------------------ ข้าขอยิ้มเยาะเย้ยให้ความปะปน ในขาวมีดำ ในดำมีขาวทุกตัวคน แม้เป็นพรรคมารก็อาจมีดีในดวงกมล ชั่วช้าสามานย์อาจอยู่ในใจของวิญญูชน เบื้องบนได้ลิขิตไว้ก็ล้วนแต่เป็นวาสนา ใยยึดมั่นถือมั่นให้จริงจังกันนักหนา กาลเวลาอันยาวนาน ผุกร่อนกระทั่งหินผา หามีสิ่งใดในโลกจีรัง ชื่อเสียง ลาภ ยศ ศรีษะ แขน ขา (ล้วนแตกดับสูญเป็นธุลี) ใครกันจะค้ำปฐพี เมื่อชีวิตนั้นต้องตายทุกชีวี ขอยกจอกให้ความไม่แท้ ความไม่แน่ ความไม่นอน ไม่อาทรความไม่มี วัว ควายตายไปเหลือเขาหนัง คนตายเหลืออะไรเมื่อถูกฝัง เหลือเพียงชื่อทิ้งไว้เบื้องหลัง แล้วจะแบกอะไรให้เมื่อยแผ่นหลัง ---------------------------------- ไม่มี สิ่งไหน ยั่งยืน ตราบจน ชั่วกาลนาน กี่รบ กี่รัก ที่เคยผ่านมา ก็ผ่านเลยไป ท่ามกลางหุบผา หัวใจ ลิ่วลม ดุจดั่งใบไผ่ ปล่อยมัน ล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย ตามลิขิตฟ้า